ลืม password | สมัครสมาชิก
วันที่: 2013-04-20 12:44:24.0view 24475reply 0
ในวันที่หุ้นตก ^_^" แดงกระหน่ำทั้งแผ่นดิน มาอ่านอะไรเบาๆสลับกับความรู้แน่นๆที่ได้กันไปก่อนหน้านี้กันบ้างนะครับ จะได้ผ่อนคลายกับหุ้นตก เอ่อ!!!ย้ำอยู่นั่น ก็เอาเป็นว่าช่วงนี้อากาศร้อนมากร้อนจริงๆร้อนจัง (แถมหุ้นก็ตก) ^^" ก็คงต้องดูแลร่างกายผิวหนังกันเป็นพิเศษ เพื่อที่ผิวสวยๆของชาว fanpage ใกล้ชิดหมอจะได้ไม่หมองคล้ำดำไหม้กันไปนะครับ วันนี้ผมก็จะเอาข้อมูลพื้นฐานเรื่องเกี่ยวกับการเลือกใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวของเรา มาให้อ่านกัน มาทำความรู้จักกับ ศัพท์ต่างๆที่มักจะได้ยินเวลาพูดถึงครีมกันแดดกันก่อน เช่น UVA คือรังสี ultraviolet ที่มีความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร UVB คือรังสี ultraviolet ที่มีความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร UVA กับ UVB ส่งผลกับผิวหนังเราต่างกันยังไง ??? ก็คือ UVB จะเป็นตัวร้ายกว่า จะทำให้เกิด sunburn และเป็นสาเหตุหลักของเกิดการ มะเร็งผิวหนังชนิด Basal cell และ Squamous cell carcinoma และ Melanoma ส่วนเจ้า UVA ก็ร้ายไม่ใช่น้อย เพราะเป็นสาเหตุในการทำให้เกิดริ้วรอยย่นยับในใบหน้า (photoaging)และยังช่วยกันส่งเสริมให้เกิดมะเร็งผิวหนังร่วมกับ UVB SPF และ PA คืออะไร??? ถ้าไปเลือกซื้อครีมกันแดด ต้องเห็น ตัวย่อ 2 ตัวนี้บนขวดแน่ๆ มาดูกันทีละอย่างครับ SPF (Sun protection factor) คือ ความสามารถในการกัน UVB ไม่ให้เกิด อาการแดงหรือ sunburn นั่นเอง โดยจะเทียบเป็นเท่า กับเวลาที่เราจะเกิดอาการแดงถ้าอยู่กลางแสงแดดโดยไม่ใช้ครีมกันแดด เช่น โดยปกติอยู่กลางแดดซัก 20 นาทีผิวจะเริ่มแดง ครีมกันแดด SPF 15 ก็จะหมายถึงถ้าเราทาครีมกันแดดตัวนี้จะอยู่กลางแดดได้นาน 15x20=300 นาที หรือ 5 ชม. ผิวจึงจะเริ่มแดง แต่เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้ได้จากห้องทดลอง เมื่อมาใช้งานจริงๆก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง โดยเฉพาะปริมาณครีมกันแดดที่ทา ซึ่งค่า SPF ที่ได้เกิดจากการทดลองทากันแดด 2 mg/พื้นที่ผิวหนัง 1 ตาราง cm. ซึ่งในชีวิตจริงเรามักทากันปริมาณไม่ถึงหรอก ประสิทธิภาพที่บอกไว้ก็อาจจะลดลง 2/3- 50 % เช่น จากตัวเลข 5 ชม.ข้างบนอาจเหลือแค่ 2 ชม ครึ่ง- 3 ชม.ครึ่ง เป็นต้น PA (Protection of UVA) คือ ค่าการป้องกัน UVA โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำดำ (persistent pigment darkening; PPD) PA + คือ ป้องกัน UVA ได้ 2 เท่า PA ++ คือ ป้องกัน UVA ได้ 4 เท่า PA +++ คือ ป้องกัน UVA ได้ 8 เท่า และล่าสุดในปี 2013 นี้เอง สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ญี่ปุ่น ได้กำหนดค่า PA เพิ่มมา คือ PA ++++ ซึ่งจะสามารถกันรังสี UVA ได้ถึง 16 เท่า และเริ่มมีครีมกันแดดของญี่ปุ่นที่มี PA ++++ ออกมาแล้ว ยังไงก็ลองติดตามกันดูนะครับ ค่า PA นี้เป็นค่าที่ประเทศญี่ปุ่นคิดขึ้น ไม่ใช่ค่าสากล ดังนั้นครีมกันแดดบางยี่ห้อจะไม่ระบุค่า PA มาให้ แต่จะบอกถึงสารที่ใส่มาซึ่งสามารถกัน UVA ได้ เช่น avobenzone, zinc oxide, oxybenzone , dioxybenzone เป็นต้น แล้วเราควรจะเลือกครีมกันแดดอย่างไร ??? อันดับแรกก็คือ เลือกครีมกันแดดที่สามารถกันรังสีได้ทั้ง UVA/UVB โดยดูจากค่า SPF/PA ที่ได้อธิบายแล้วข้างต้นครับ หรือดูจากส่วนประกอบ อันดับถัดมา ดูเงินในกระเป๋า เพราะราคามันหลากหลายมากขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพ และยี่ห้อ จากนั้นก็ต้องมาดูกันในรายละเอียด ว่าผิวของเราเป็นลักษณะแบบไหน ไหม้ง่ายไหม้ยากแค่ไหน ถ้าไหม้ยากก็ SPF น้อยๆพอ ถ้าโดนแดดไม่นานก็เริ่มแสบแดงแล้วก็ต้อง SPF สูงๆหน่อย SPF 2 กัน UVB ได้ 50 % SPF 4 กัน UVB ได้ 75 % SPF 8 กัน UVB ได้ 87.5 % SPF 15 กัน UVB ได้ 93.3% SPF 20 กัน UVB ได้ 95% SPF 30 กัน UVB ได้ 96.7% SPF 50 กัน UVB ได้ 98 % โดยทั่วไปก็แนะนำให้ใช้ SPF 15 ขึ้นไปในวันปกติ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าแดดเมืองไทยเป็นยังไง ถ้าในวันที่ต้องออกแดดมากเป็นพิเศษ เช่น ไปทะเล ก็ต้อง up ขึ้นไป 30-50 และถ้าจะลงทะเลเล่นน้ำก็ต้องเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำและทาซ้ำบ่อยๆ ศัพท์สำหรับ ครีมกันแดดกันน้ำได้ คือ waterproof คือจะออกฤทธิกันแดดได้สูงสุด 80 นาที water resistant ออกฤทธิกันแดดได้สูงสุด 40 นาที เพราะฉะนั้นก็ทาซ้ำทุก 40-80 นาทีตามชนิดละกัน อ่อ! และควรทาครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกหิมะตก เพราะ UV ส่องโดนผิวเสมอแม้ไม่เห็นแดดนะครับ Admin Dr.Jame